เลือดกำเดาไหล ไม่ต้องตกใจ ทำตามนี้

เลือดกำเดาไหล เป็นอาการที่สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแคะจมูก อากาศแห้ง ภูมิแพ้ การใช้ยาบางชนิด และความดันโลหิตสูง

เลือดกำเดาไหล เป็นอาการที่สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแคะจมูก อากาศแห้ง ภูมิแพ้ การใช้ยาบางชนิด และความดันโลหิตสูง การปฐมพยาบาลเมื่อเลือดกำเดาไหลคือการนั่งตรง ก้มหน้า บีบจมูก และประคบเย็น หากมีเลือดกำเดาไหลบ่อยควรตรวจสอบภาวะสุขภาพและการใช้ยา การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินเค และธาตุเหล็กจะช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรง การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญหากเลือดกำเดาไหลบ่อยหรือมีอาการในตอนกลางคืนเพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม

เลือดกำเดาไหล เกิดจากอะไร?

เลือดกำเดาไหลหรือ Epistaxis เป็นอาการที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. แผลในจมูก: เกิดจากการแคะจมูกหรือได้รับการกระแทก
  2. อากาศแห้ง: การอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งหรืออากาศหนาว ทำให้เยื่อเมือกในจมูกแห้งและแตกได้ง่าย
  3. ภูมิแพ้: การแพ้สารบางอย่าง เช่น ฝุ่น หรือขนสัตว์ ทำให้จมูกระคายเคืองและมีเลือดออก
  4. การใช้ยาบางชนิด: ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาสเตียรอยด์
  5. ความดันโลหิตสูง: เป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดในจมูกแตก

เลือดกำเดาไหล ปฐมพยาบาล

  1. นั่งตรงและก้มหน้าเล็กน้อย: เพื่อไม่ให้เลือดไหลลงคอ
  2. บีบจมูก: ใช้นิ้วบีบจมูกบริเวณด้านบนของปีกจมูกทั้งสองข้าง ประมาณ 10-15 นาที
  3. ประคบเย็น: วางถุงน้ำแข็งหรือผ้าเย็นบนจมูกและหน้าผาก เพื่อช่วยหยุดเลือด
  4. หลีกเลี่ยงการแคะจมูก: และไม่ควรนอนราบในขณะที่มีเลือดกำเดาไหล

เลือดกำเดาไหลบ่อย อันตรายไหม?

เลือดกำเดาไหล บ่อยอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หากเกิดขึ้นบ่อยและมากเกินไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การขาดเลือด

เลือดกำเดาไหลบ่อย ต้องกินอะไร?

การรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรง เช่น:

  1. วิตามินซี: พบในผลไม้ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ และผักคะน้า
  2. วิตามินเค: พบในผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี่
  3. อาหารที่มีธาตุเหล็ก: เช่น เนื้อแดง ถั่ว และธัญพืช

เลือดกำเดาไหลตอนกลางคืน

เลือดกำเดาไหลตอนกลางคืน อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อากาศแห้งในห้องนอน การใช้ยาบางชนิด หรือภาวะสุขภาพเรื้อรัง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงเกี่ยวกับเลือด ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์