เยาวชนเกาหลีเหนือ สมัครเข้ากองทัพกว่าล้านคน

ข่าวต่างประเทศ รายงานจาก KCNA ระบุว่าเยาวชนเกาหลีเหนือ รวมถึงนักศึกษาและเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์เยาวชน ได้ลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมหรือกลับเข้ากองทัพเป็นจำนวนมาก

ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2567 โดยล่าสุด สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่า มีเยาวชนเกาหลีเหนือมากกว่า 1.4 ล้านคนสมัครเข้าร่วมกองทัพภายในระยะเวลาเพียง 2 วัน เพื่อร่วมต่อสู้ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “สงครามศักดิ์สิทธิ์” ท่ามกลางความขัดแย้งที่เพิ่มสูงขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี

เกาหลีเหนืออ้างเยาวชนแห่เข้าร่วมกองทัพมากกว่า 1.4 ล้านคน

ข่าวต่างประเทศ รายงานจาก KCNA ระบุว่าเยาวชนเกาหลีเหนือ รวมถึงนักศึกษาและเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์เยาวชน ได้ลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมหรือกลับเข้ากองทัพเป็นจำนวนมาก การกระทำนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประชาชนในชาติที่ต้องการปกป้องประเทศจากศัตรู โดย KCNA ย้ำว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้จะนำไปสู่ “การต่อสู้เพื่อทำลายล้างศัตรูด้วยอาวุธแห่งการปฏิวัติ”

นอกจากนี้ ยังมีคำขู่จากรัฐบาลเกาหลีเหนือที่เตือนว่า หากเกิดสงครามขึ้น สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้จะ “ถูกลบหายไปจากแผนที่” ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันและความขัดแย้งระหว่างสองประเทศบนคาบสมุทรเกาหลี

การปะทะระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ทวีความรุนแรง

สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีเกิดความตึงเครียดอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่เกาหลีเหนือระเบิดถนนและทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาว่าเกาหลีใต้ส่งโดรนเข้ามาในพื้นที่กรุงเปียงยางเพื่อลอบปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การตอบโต้ด้วยอาวุธจากกองทัพเกาหลีใต้ รวมถึงการยิงปืนขู่เพื่อแสดงความพร้อมในการป้องกันประเทศ

นักวิเคราะห์เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเป็นสงคราม

แม้ความตึงเครียดจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังเชื่อว่าสถานการณ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไม่น่าจะบานปลายไปถึงการทำสงครามเต็มรูปแบบ ศ. คัง ทง-วาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระบุว่า “รัฐบาลเกาหลีเหนือมักใช้การเผชิญหน้าทางทหารเพื่อเสริมสร้างความภักดีต่อรัฐบาลภายในประเทศ” และยังเชื่อว่าเปียงยางมีเป้าหมายในการใช้ความตึงเครียดนี้เพื่อเพิ่มการสนับสนุนภายในประเทศมากกว่าการเปิดฉากสงคราม

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นว่า เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือต่างอยู่ในภาวะที่ไม่มีใครยอมประนีประนอม แต่สถานการณ์อาจยังคงอยู่ในระดับของ “สงครามน้ำลาย” มากกว่าการปะทะทางทหารอย่างแท้จริง

สรุป การเพิ่มจำนวนของเยาวชนเกาหลีเหนือ ที่สมัครเข้าร่วมกองทัพ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสองเกาหลีที่ยังคงคุกรุ่นอยู่

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แต่ยังคงเป็นความตึงเครียดทางการเมืองที่ใช้เพื่อสร้างแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ

คิมจองอึน ใช้คำพูดคล้ายเกาหลีใต้ ถูกสงสัย ติดซีรีส์?

ผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนระหว่างการเยี่ยมเยียนผู้ประสบอุทกภัยที่แม่น้ำยาลู

รายงานจากสำนักข่าว Radio Free Asia เปิดเผยว่า ผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน ได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนระหว่างการเยี่ยมเยียนผู้ประสบอุทกภัยที่แม่น้ำยาลู เมืองซินอึยจู เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยใช้คำพูดที่ฟังคล้ายคำศัพท์จากเกาหลีใต้ ซึ่งผิดกฎหมายในเกาหลีเหนือและมีบทลงโทษรุนแรง

คำพูดที่สร้างความสับสนและข้อสงสัย

คิมจองอึน ใช้คำว่า “ประชาชนทั้งหลาย” แทนคำว่า “สหาย” ที่เป็นคำศัพท์มาตรฐานในเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังเรียกผู้สูงอายุว่า “คนแก่” แทนคำที่สุภาพกว่า เช่น “ผู้อาวุโส” หรือ “ปู่ย่าตายาย” สร้างความงุนงงให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อเขาเรียกโทรทัศน์ว่า “ทีวี” แทนที่จะใช้คำว่า “เทเรบี” ซึ่งเป็นคำที่คนเกาหลีเหนือคุ้นเคย

กฎหมายควบคุมการใช้ภาษาและวัฒนธรรมในเกาหลีเหนือ

เกาหลีเหนือ มีกฎหมายเข้มงวดสองฉบับเพื่อควบคุมไม่ให้ประชาชนใช้คำพูดหรือพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเกาหลีใต้ ได้แก่ “กฎหมายความคิดและวัฒนธรรมที่ส่งผลให้มีพฤติกรรมต่อต้าน” ซึ่งประกาศใช้ปี 2020 และ “กฎหมายคุ้มครองภาษาวัฒนธรรมเปียงยาง” ปี 2023 ซึ่งมุ่งเน้นรักษามาตรฐานภาษาของเกาหลีเหนือ และห้ามการใช้คำทับศัพท์ที่มีอิทธิพลจากตะวันตก

ข่าวต่างประเทศ ที่ผ่านมา การใช้คำพูดหรือพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากเกาหลีใต้ในเกาหลีเหนือถือเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกลงโทษด้วยการส่งไปทำงานในเหมืองถ่านหินหรือค่ายกักกัน อีกทั้งยังมีการประหารชีวิตผู้ที่ลักลอบฟังเพลง K-Pop ของเกาหลีใต้อีกด้วย

การใช้คำศัพท์แบบเกาหลีใต้ของคิมจองอึนจึงสร้างความประหลาดใจและคำถามว่าเหตุใดผู้นำเกาหลีเหนือถึงได้ใช้คำเหล่านี้ท่ามกลางกฎหมายที่เคร่งครัด