ประชาชนสหรัฐฯ หลายแสนคนรวมตัวประท้วง “Hands Off!”

การชุมนุมจัดขึ้นพร้อมกันใน มากกว่า 1,300 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ รวมถึงเมืองหลักอย่าง นิวยอร์ก, วอชิงตัน ดี.ซี., ลอสแอนเจลิส และชิคาโก ผู้ประท้วงพากันถือป้ายข้อความหลากหลาย

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันหลายแสนคนทั่วประเทศได้รวมตัวกันในการประท้วงครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อว่าHands Off!” เพื่อต่อต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง และ อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาคนสนิทในฐานะผู้นำหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายภาครัฐในยุคปัจจุบัน


เดินขบวนกว่า 1,300 จุดทั่วประเทศ จุดติดไฟการเมืองรอบใหม่

การชุมนุมจัดขึ้นพร้อมกันใน มากกว่า 1,300 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ รวมถึงเมืองหลักอย่าง นิวยอร์ก, วอชิงตัน ดี.ซี., ลอสแอนเจลิส และชิคาโก ผู้ประท้วงพากันถือป้ายข้อความหลากหลาย เช่น

  • “เสรีภาพในการแสดงออก = ประชาธิปไตย”
  • “เราเก็บภาษีเพนกวิน แต่ไม่เก็บรัสเซียงั้นเหรอ?”

สะท้อนความไม่พอใจต่อแนวนโยบายที่มุ่งลดขนาดรัฐและตัดงบสวัสดิการที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของรัฐสมัยใหม่


มัสก์-ทรัมป์ ถูกจี้กลางเวที: ลดงบสวัสดิการ-เพิ่มภาษีศุลกากร-เอื้อกลุ่มทุน

ผู้ประท้วงโจมตีการบริหารของรัฐบาลทรัมป์ว่า มุ่งลดงบประมาณด้านบริการสาธารณะ อย่างประกันสังคม, Medicaid, การศึกษา, ศิลปะ และสื่อมวลชน โดยเฉพาะหลังการมอบหมายบทบาทสำคัญให้ อีลอน มัสก์ คุม DOGE หน่วยงานที่ดูแลเรื่อง “ประสิทธิภาพภาครัฐ” แต่กลับถูกมองว่า เป็นเครื่องมือแปรรูปภาครัฐให้รับใช้กลุ่มทุนและคนรวย

ผู้ชุมนุมยังวิพากษ์วิจารณ์การเพิ่มภาษีศุลกากร ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประชาชน โดยไม่แตะกลุ่มทุนต่างชาติรายใหญ่ที่มีความเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของผู้นำรัฐบาล


จากคำปราศรัยถึงหัวใจประชาธิปไตย

ที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนรวมตัวที่ National Mall เคลลี่ แลร์ด หนึ่งในผู้ร่วมประท้วงกล่าวว่า

“พวกเขากำลังโจมตีทุกอย่างที่ทำให้ประเทศนี้มีหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การดูแลสุขภาพ หรือศิลปะ”

ในฝั่งของลอสแอนเจลิส ดันบาร์ ดิกส์ ผู้จัดงานระบุว่า

“เราไม่มีเวลามาก แต่เรามีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และเราจะใช้มันแม้ระหว่างทางจากที่ทำงานไปศูนย์รับเลี้ยงเด็ก”


บทสรุป: สัญญาณอันตรายต่อเสถียรภาพ

การประท้วง “Hands Off!” ครั้งนี้ถือเป็น การแสดงพลังของประชาชนครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง สะท้อนถึงแรงต้านทางสังคมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อแนวทางการปกครองในยุคใหม่ที่เน้น “ลดรัฐ เพิ่มทุน” ภายใต้เงาของผู้นำที่เป็นทั้งมหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลด้านเทคโนโลยี

นี่ไม่ใช่แค่การประท้วงธรรมดา แต่คือคำเตือนว่าประชาธิปไตยต้องอาศัย “เสียงของประชาชน” ไม่ใช่แค่ “อำนาจของชนชั้นนำ”